วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

何となく2

เป็นคำที่ได้ยินเซนเซพูดบ่อยมาก ตอนที่ไปคุยกันครั้งแรกเพื่อที่จะพบกับผู้จัดการร้านอาหารที่จะไปสมัครทำงานพิเศษ
ถามเซนเซว่าคำนี้แปลว่าอะไร เซนเซ ก็บอกว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ว่ามันมีความหมายว่าอย่างไร แต่ใช้ในสถานการณ์ที่ ประมาณว่า “บอกไม่ถูก ว่ายังไง”

วันนี้ลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทเกี่ยวกับคำว่า何となく
มีบทความหนึ่งเขียนไว้ประมาณว่า คนส่วนใหญ่มักจะอธิบายคำว่า何となくในทำนองที่ว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลหรือว่าไม่มีความหมาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ทุกการกระทำของมนุษย์ล้วนมีเหตุผลหรือความตั้งใจแฝงอยู่ แต่ถูกเหมารวมไปอยู่กับคำว่า何となくแทน เช่น
「今日は暇だったので部屋の掃除をした」วิธีการพูดแบบนี้สามารถเปลี่ยนไปพูดอีกแบบหนึ่งได้ คือ
「今日は何となく部屋の掃除をした」
จะเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอธิบายอย่างชัดแจ้งว่าทำไมถึงทำความสะอาดห้อง ก็ใช้ 何となくพูดแทนเหตุผลนั้นไปเลย

http://homepage1.nifty.com/vangal/column/nazobun_006.html

เมื่อลองเข้าไปดูอีกเวบไซต์นึง http://detail.chiebukuro.yahoo.co.jp/qa/question_detail/q1212574317
มีคนตั้งคำถามว่า何となくถ้าเป็นภาษาอังกฤษจะใช้คำว่าอะไร
มีคนเข้ามาตอบกระทู้ดังกล่าวด้วยการยกประโยคตัวอย่างที่ว่า
あなたの言いたいことは何となく分かります。
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ = I’ vaguely got what you’d like to say. เขาบอกว่า受験英語用であれば100点満点ですが実際の会話ではどうかと思います。แสดงว่าในการสนทนาเป็นภาษาอังกฤษเขาจะไม่พูดแบบนี้กัน ถึงแม้จะถูกต้องตามไวยากรณ์ ทางที่ดีที่สุดคือต้องสังเกตจากบริบทว่าในสถานการณ์นั้นหมายความว่าอย่างไร
แต่ถ้าเป็นภาษาไทย คิดว่า あなたの言いたいことは何となく分かります。ก็น่าจะใช้ในสถานการณ์ที่เราต้องการบอกอีกฝ่ายว่า อย่างไรก็ดี เราเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะบอก

และถ้าเปิดหาความหมายจากพจนานุกรม
ภาษาไทย แปลว่า โดยไม่รู้สาเหตุ
ส่วนภาษาอังกฤษ จะแปลว่า for some reason or another

เมื่อกี๊ลองเปิดเข้าไปอ่านบล็อกของตัวเองที่เคยเขียนตั้งคำถามไว้กับ何となく(แต่ก็ได้หาคำตอบ 555) มีเพื่อนสามคนช่วยมาเขียนให้คำแนะนำไว้ ต้องขอบคุณมากๆ เลย แสดงว่า何となく分かれるように ก็น่าจะแปลอย่างที่ฝนบอกว่า พยายามให้เข้าใจในระดับหนึ่ง

คิดว่า何となくน่าจะเป็นคำที่ใช้หลีกเลี่ยงการพูดถึงเหตุผลโดยตรง นัยว่าเป็นการกล่าวโดยสรุป ทำให้ไม่ยุ่งยาก หรือว่าตอนนั้นผู้พูดเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเหตุผลของตนเองอย่างไรดี อาจจะฟังดูกำกวม แต่ถ้าฝึกสังเกตจากบริบทบ่อย คิดว่าน่าจะเข้าใจได้จากสถานการณ์ในตอนนั้น

ปล. เกิดนึกอะไรมาอัพบล็อก เอาตอนนี้เนี่ย - -”
  何となく明日の朝までにポートフォリオを書き終わらなければならないんだね。

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

ประสบการณ์

หายจากการเขียนบล็อกไปนาน..และก็ไม่ได้แวะเข้าไปอ่านบล็อกเพื่อน นอกจากจะไม่มีอะไรเข้ามาเติมใส่สมองแล้ว อะไรที่มีอยู่ในหัวน้อยอยู่แล้ว ยิ่งค่อยๆ หลุดหายไปอีก


จำได้มั้ย?

เราเคยบอกเพื่อนๆ ไว้ว่า เป้าหมายของการเรียนวิชานี้ของเราคือ"กล้าพูดกับคนญี่ปุ่น" ตอนนั้นอาจารย์กนกวรรณถามว่า ความกลัวของเราอยู่ในระดับไหน

ตอนนั้นเราเองก็อธิบายไม่ถูก เลิกเรียนวันนั้นก็คุยกับฝน และได้คำตอบแบบ 具体的 ว่า

"ระดับที่ทำทุกทางเพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับคนญี่ปุ่น"

เราเป็นแบบนั้น..แหละ

วันที่พรีเซนต์หัวข้อเราบอกเพื่อนๆ ไว้ว่า เราจะบรรลุเป้าหมายนั้นด้วยการไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านนี้ตั้งอยู่แถวๆ อาคารเสริมมิตร(ก็ไม่ใช่แถวๆ หรอก ใต้อาคารเสริมมิตรเลยล่ะ) ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น เจ้าของและผู้จัดการร้านเป็นคนญี่ปุ่น

ร้านนี้เป็นร้านของเพื่อนของเพื่อนเซนเซอีกที เซนเซพาเราไปกินอาหารที่ร้านนี้และก็คุยกับเพื่อนๆ เซนเซ ทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งสุดท้าย (19 ธค. 52) เซนเซตั้งใจว่าจะให้พบกับผู้จัดการร้าน เพื่อที่จะคุยรายละเอียดแต่ดูเหมือนว่าเขาจะยุ่งๆ และเราก็พูดตะกุกตะกัก เขาพูดด้วยสปีดเดียวกันกับที่คุยกับคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เขาถามอะไรเราก็ไม่รู้เรื่อง เขาจึงนัดให้มาคุยอีกทีวันศุกร์ที่ 8 ม.ค. 53


หลังจากนั้นวันที่ 4 ม.ค. 53 เราก็ได้รับทราบข่าวดีจากเซนเซว่า ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเค้าไม่ต้องการคนแล้ว ~ 従業員がいらない อะไรสักอย่าง และเหมือนเขาคงไม่อยากจะให้เสียใจมั้ง..เขาก็เลยบอกว่าวันศุกร์กับเสาร์ที่เราสามารถมาทำได้เนี่ยนะ วันศุกร์คนเยอะมาก งานก็ยุ่งคงไม่ได้ฝึกภาษา และวันเสาร์ก็ไม่ค่อยมีคน จะมีก็ตอนมืดๆ...เง้อออ เซนเซก็ใจดีมากๆ (ไม่รู้ว่าะจะบรรยายความใจดีของเซนเซยังไงดี..) เซนเซก็บอกว่าเดี๋ยวจะช่วยหา ร้านใหม่ให้ เป็นร้านขายของที่ระลึก เจ้าของร้านเป็นเพื่อนเซนเซเอง เดี๋ยววันศุกร์นี้ไปดูกัน(ซึ่งก็คือวันที่ 8 ม.ค.53 นั่นเอง)


วันที่ 8 ก็ไปร้านขายของที่ระลึกที่ว่ากับเซนเซ โห..จะมีคนมั้ยเนี่ย มันอยู่ในซอย ที่อยู่ในซอยอีกที แถวๆ สถานีพร้อมพงษ์ (ซ.สุขุมวิท 39) เซนเซก็พาไปรู้จักเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นผู้ชายชาวญี่ปุ่น (ได้แต่คิดในใจว่า ตายแน่ๆ ปกติก็ฟังไม่รู้ เรื่องอยู่แล้ว ยิ่งเป็นผู้ชายพูด เรารู้สึกว่าฟังยากกว่าปกติ คงมีแต่อาจารย์นะกะยะมะ ท่านเดียวที่เป็นผู้ชายชาวญี่ปุ่นที่เราฟังรู้เรื่อง) จากนั้นก็คุยกับพี่คนไทยที่เป็นคนดูแลร้าน พี่เค้าพูดอยู่2-3คำ แล้วก็บอกว่าอาทิตย์หน้ามาเริ่มได้เลย พอออกจากร้านเซนเซก็ชวนไปที่บ้านเซนเซ

ตื่นเต้น..ได้ไปบ้านคนญี่ปุ่นด้วยล่ะ 555


บ้านเซนเซอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แถวๆ สถานีพร้อมพงษ์แต่ว่าเข้าไปสลับซับซ้อนมาก เลยจำไม่ได้ว่าอยู่ซอยไหน ต้องนั่งมอไซค์รับจ้างเข้าไป ก่อนเดินไปที่วินมอไซค์ ตกใจเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเดินมากับหัวหน้าแกงค์ ไม่ว่าจะเดินผ่านร้านขายผลไม้ ร้านกับข้าวหรือร้านซ่อมนาฬิกา พี่ๆ ทุกร้านทักเซนเซกันหมด 555


ก่อนเข้าบ้านเซนเซ ได้พูดว่า おじゃまします。เป็นครั้งเดียวที่รู้สึกว่าพูดภาษาญี่ปุ่นได้ถูกต้องจริงๆ จากนั้นก็นั่งคุยกับเซนเซไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่บ่ายๆ จนถึง 5 โมงกว่าๆ ความจริงแล้ว เซนเซเป็นคนชวนคุยซะส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าเซนเซกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ว่าไม่ได้เข้าใจทั้งหมด คุยตอนนั้นรู้สึกว่าปัญหาคือ ไม่รู้ว่าจะต้องตอบยังไง ต้องใช้ไวยากรณ์อะไรอยู่ดีๆ ก็นึกศัพท์ไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากพูดอะไรตั้งเยอะแยะ


มีอยู่เรื่องนึงเราจำได้สนิทใจเลย ไม่รู้อยู่ดีๆ ไปคุยกันเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองได้ยังไง เซนเซก็ถามเราว่าเรารู้สึกกับคนญี่ปุ่นยังไง..โห ต่อให้ตอบเป็นภาษาไทยเราว่ายังตอบยากเลยนะ เรื่องของสงคราม เราว่ามันเปราะบางเกินกว่าจะพูดอะไรมั่วๆ สั่วๆ ออกไปแบบที่เราชอบพูด เราอาจจะพูดผิดพูดถูกจนมั่วไปหมด ก็เลยหลีกเลี่ยงไม่พูดดีกว่า


เซนเซเล่าให้ฟังว่า ลูกของเซนเซเรียนอยู่โรงเรียนนานชาติที่เมืองไทย มีอยู่วันนึง ลูกเซนเซกลับมาที่บ้านเล่าให้เซนเซฟังว่า ถูกเพื่อนคนเกาหลีด่าเรื่องที่ญี่ปุ่นก่อสงคราม แล้วเข้าไปทำร้ายคนเกาหลี และก็ยึดครองประเทศเกาหลี ลูกเซนเซต้องโค้งอยู่หลายรอบเพื่อขอโทษคนเกาหลีคนนั้น เซนเซบอกว่าที่ญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยสอนเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองให้กับเด็กเท่าไหร่ ลูกเซนเซ

ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้


ฟังแล้ว..รู้สึกแย่ ไปเลย สำหรับเราแล้ว เราว่ามันเป็นเรื่องของอดีต

ความจริงแล้ว เราตั้งใจจะมาเขียนเรื่องที่ไปทำงานที่ร้านขายของที่ระลึกนี่นา...


เมื่อวานเป็นวันที่ 4 แล้วที่เราไปทำงานที่ร้านขายของที่ระลึก ร้านนี่ชื่อว่า near equal ตั้งอยู่ที่ซ.สุขุมวิท 39 เป็นร้านขายของที่ระลึก (แต่เรางงว่าทำไมเซนเซอธิบายให้เราฟังว่าร้านนี้เป็น 雑貨屋 ทั้งๆ ที่เราว่ามันเป็น お土産店แน่ๆ) เซนเซบอกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น ไม่เห็นจริงเลย มีแต่คนญี่ปุ่น ต่างหาก ทำงานมา 4 วัน เจอลูกค้าคนไทย 1 คน ฝรั่ง 1 คน นอกนั้นเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ที่งงคือ เค้าหาร้านเจอกันได้ยังไง ทั้งๆ ที่มันต้องเข้าซอยมาอีก และเราก็ได้คำตอบโดยบังเอิญ เมื่อมีลูกค้าคนนึงถือไกด์บุ๊ค แล้วก็พยายามถามเราว่ามีพวงกุญแจ...มั้ย ...คืออะไร สักอย่างที่เราฟังไม่รู้เรื่องเค้าก็เลยเปิดไกด์บุ๊คให้ดูรูปสิ่งที่เขากำลังพูดถึง นั่นก็คือพวงกุญแจรูปจิ้งจกนั่นเอง (มันเป็นลูกปัดเม็ดเล็กๆ ร้อยเป็นรูปจิ้งจกน่ะ ไม่ใช่จิ้งจกยางแบบที่เห็นกัน) เพราะที่นี่ลงโฆษนาไว้ในไกด์บุ๊คของคนญี่ปุ่นนั่นเอง จึงทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักที่นี่


ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ และก็พบเจอปัญหามากมายพอเจอกับคนญี่ปุ่นจริงๆ เข้า รู้สึกว่า..เฮ้ย พูดไม่ได้เลย นี่เรียนมา 6 ปีแล้วจริงๆ รึป่าวเนี่ย เป็นภาษาญี่ปุ่นที่ใช้การไม่ได้เลย อยากจะพูดกับเค้าว่า ให้ห่อเป็นของขวัญด้วยมั้ยคะ ก็จะมี เวิร์บ และคำนาม หลุดออกมาเป็นคำๆ ไม่มีรูปจบประโยคใดๆ ทั้งสิ้น แค่ プレゼントとして 包んで...ไม่รู้ว่าจะจบประโยคยังไงดี

แต่พอลูกค้าได้ยินคำว่า プレゼントเค้าก็เข้าใจแล้ว ก็จะ はいはいはい

หรืออย่างอยากจะบอกว่าฝากของได้นะคะ เมื่อวันแรกเราพูดกับลูกค้ารุ่นคุณยายว่า お待ちしましょうか แต่ก็รู้สึกแปลกๆ เพราะเราก็ไม่ได้ถือให้เค้า แค่รับมาและมาวางไว้หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน เมื่อวานเจอลูกค้าหิ้วของเยอะมาก พอดีเค้าเดินอยู่แถวๆ เคาน์เตอร์ที่เรายืนอยู่ เราก็เลยเดินเข้าไป และพูดว่า ここにおいてもいいです。พุดจบก็นึกถึงเรื่องที่อาจารย์กนกวรรณเพิ่งเล่าให้ฟังในห้องไป ที่มีคนบอกอาจารย์อิไวว่าใช้ห้องนี้ได้ตามสบายแต่เค้าไปพูดว่า この部屋を使ってもいいです。ซึ่ง てもいい เป็นรูปเกี่ยวกับการขออนุญาต ~ เอาแล้วไง ลูกค้าจะเข้าใจผิดมั้ยเนี่ยแต่ลูกค้าไม่ว่าอะไร เค้าก็ยิ้มๆ และก็บอกขอบคุณใหญ่เลย


ตลกดี เราพยายามคุยกับลูกค้าเป็นภาษาญี่ปุ่น เพื่อที่จะทำให้เค้ารู้ว่า หนูพอพูดได้บ้างนะคะ ถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ (ซึ่งหนูก็ไม่ถนัดเหมือนกัน 555) ก็ใช้ภาษาญี่ปุ่นก็ได้ เค้าก็พยายามจะ พูดภาษาไทยกับเรา เพื่อที่จะทำให้เรารู้ว่าเค้าก็พอพูดภาษาไทยได้บ้างเหมือนกัน 555 บางที ลูกค้าถามเราเป็นภาษาอังกฤษ เราตอบเค้าเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วเค้าก็ถามเรากลับมาเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งก็ทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งเลย ว่าภาษาญี่ปุ่นของเรามันคงจะแย่จริงๆ


ที่แย่ที่สุด คือเรื่องที่เจอเมื่อวาน พี่ที่ร้านอีกคนออกไปคีย์ข้อมูลสินค้า เราก็เลยต้องเฝ้าร้านคนเดียวมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นผู้ชาย 3 คนเข้ามาในร้าน น่าจะประมาณไม่เกิน30 นิดๆ ล่ะมั้ง เค้าก็เดินดูนู่นดูนี่ เราก็อยู่ที่เคาน์เตอร์ มีผู้ชายคนนึงมาหยุดเดินดูสเปรย์ที่วางเรียงอยู่เยอะๆ และเค้าก็หยิบขึ้นมาอันนึง แล้วถามเราว่า "อะไร" เอาแล้วไง เราก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร อารมณ์มันเหมือน สเปรย์ ที่ฉีดให้มีกลิ่นหอม เห็นที่ขวดมันเขียนอะไรอโรมา สักอย่าง ทำนองนี้ แต่เราไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ก็เลยตอบเค้าว่า "สเปรย์ปรับอากาศ" ...เค้าทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ เราก็เลยคิดว่าเค้าคงไม่เข้าใจภาษาไทยมั้ง


เลยพูดภาษาญี่ปุ่นแบบงงๆ โง่ๆ ไปว่า いい匂いが出る เค้าก็หัวเราะออกมานิดนึง..เราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว เราลองพลิกขวดอ่านดู เขาเขียนว่ามันเป็น spa product ก็เลยบอก เขาว่า spa product ไม่รู้จะบอกไปทำไมเหมือนกัน เพราะมันก็เขียนอยู่ เขาก็ ฮะ ฮะ เหมือนไม่เข้าใจ..และก็พูดคำว่า สปะ สปะ เราอ่านไปเรื่อยๆ ก็เจอที่เค้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษ ประมาณว่า use in the car อะไรสักอย่าง น่าจะใช้ในรถได้ อะไรทำนองนี้มั้ง ก็เลยพูดไปว่า 車の中に使えるและก็กำลังจะพูดว่า と書いてあります แต่ยังไม่ทันได้พูดลูกค้าคนนั้นก็หัวเราะก๊ากออกมาเลย เป็นเสียงหัวเราะที่ดังมาก และก็เรียกให้เพื่อนอีกสองคนหันมา แล้วพูดกับเพื่อนว่า

車の中に使えるだってแล้วสองคนนั้นก็หัวเราะตาม หัวเราะกันอยู่นานมาก ตอนนั้นไม่มีลูกค้าคนอื่นในร้านเลย เราได้แต่ยืนนิ่ง และก็งง ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วว่าคงพูดะไรโง่ๆ ออกไป แล้วสามคนนั้นก็พูดอะไรกันต่อ เราฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่ารู้สึกแย่มาก เหมือนโดนรุมหัวเราะเยาะ อยากจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้นเลย แล้วถามว่า การที่คนต่างชาติพูดภาษาของคุณผิดๆ มันตลกขนาดนั้นเลยหรอ (ใจนึงก็คืดว่า จะตะโกนออกไปว่า そんなにおもしろいですかแต่ก็กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปอีก ถ้าผิดอีกก็โดนหัวเราะเยาะอีก ก็เลยได้แต่เงียบ และก็ก้มหน้า) นึกว่าเรื่องแบบนี้มีแต่ในละครซะอีก พอสามคนนั้นออกไป อยากจะร้องไห้มันเดี๋ยวนั้นเลย


วันนี้ทำการบ้าน志望理由書 และก็เขียนบล็อกเสร็จ ตั้งใจจะพักผ่อนตามอัธยาศัย และก็นอน

พรุ่งนี้ค่อยลุย

..หึๆ จะไม่ให้ใครมาทำแบบนั้นกับเราได้อีกแล้ว คราวนี้ล่ะ เราจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคำหรือรูปแบบประโยคที่ใช้ในร้านขายของไปฝึกจริง..นึกถึงเรื่องนั้นทีไร เจ็บใจมากๆ ให้ตายเถอะ มีคนแบบนี้ในโลกด้วย







วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

相槌=あいづち

วันนี้มินท์เพิ่งถามว่า "นิวอัพบล็อกยัง?"
...แหะๆๆ ยังเลย ไม่รู้จะเขียนอะไร ช่วงปิดตอนปีใหม่ที่ผ่านมา ไม่รู้เอาเวลาไปทำอะไรหมด !@#$%^&*

ประจวบเหมาะ - วันนี้ได้เข้าไปท่องเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นเรื่อง あいづち โดยบังเอิญ จากการที่ต้องทำงานแปล(ขีดเส้นใต้)วิชา Reading ไปเจอคำว่า "อือ" เข้า เอาแล้วไง..คนญี่ปุ่นเค้าพูดว่า "อือ" ยังไงกันนะไม่รู้จะเริ่มต้นหาคำนี้ยังไงดี เลยพิมพ์คำว่า あいづちเข้าไปในกูเกิ้ล..ไม่รู้คิดได้ยังไง 555(นั่นสิ) ก็เลยได้ไปเจอกับเวบไซต์นี้เข้า www.ma-support.co.jp/backnumber/20080709/

เค้าขึ้นหัวไว้ว่า あなたの相槌は、相手を不快にさせていませんか?เห็นหัวแบบนี้ทำให้นึกเรื่องของตัวเองตอนที่ไปเจอเซนเซกับเพื่อนๆ ของเซนเซเป็นครั้งแรก เวลาที่ฟังพวกท่านคุยกัน เราได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก และพูดว่า はい、はい และก็เผลอทำหน้างงๆ ออกไปเวลาไม่เข้าใจ เซนเซก็จะหันมาถามว่า เข้าใจมั้ย? และก็จะพยายามอธิบายให้ฟังใหม่ด้วยภาษาที่คนที่เพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นก็น่าจะเข้าใจ (จริงๆ นะ)

ประเด็นคือ..หลังจากแลกเมลล์กันวันนั้น เซนเซก็บอกว่า จะรอเมลล์นะ แล้วเราก็ส่งเมลล์ไปขอบพระคุณที่เซนเซกรุณาให้คำปรึกษาและก็..แหะๆ ใจดีเลี้ยงอาหารเราด้วย ในเมลล์ที่เซนเซตอบกลับมา เซนเซพูดถึงเรื่องการใช้ あいづちไว้ว่า
まずは、あいづちの日本語が使えると便利かもしれないですね。

へぇ~とか そうなんですか~ そうなんですか?
えーーー うそ~ ほんとですか~?など

こういうの結構大事ですよね。

ตอนคุยกันก็รู้สึกว่า เซนเซจะพูดคำว่า そうなんですか~ そうなんですか?และก็ ほんとですか~บ่อยมาก ว่าจะลองใช้ดูเหมือนกัน..แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าแค่ฟังให้เข้าใจว่าเค้าพูดอะไรกันอยู่ก็ลำบากแล้ว ถ้าต้องมาคอยหาจังหวะใส่ あいづちเข้าไปอีกล่ะก็..หึๆๆ
ใช่..เมื่อกี๊เรากำลังคิดแบบนี้อยู่..แต่อยู่ดีๆ เรื่องที่อาจารย์กนกวรรณแนะนำไปเมื่อวันที่発表เกี่ยวกับหัวข้อของตัวเองก็ลอยฟิ้วววว เข้ามาในสมอง(อีกครั้ง) อะไรสักอย่าง..จำเป็นคำที่ถูกต้องเป๊ะๆ ไม่ได้แล้ว เกี่ยวกับการ imagineถึงการสนทนากับคนญี่ปุ่น..
ใช่แล้ว - ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องสบายๆ อย่าไปกลัว อย่าไปกลัว 555 ทำมันทั้งสองอย่างเลย ทั้งพยายามตั้งใจฟังให้เข้าใจกับใช้ あいづち ไปด้วย

อ่าว..แล้วประเด็นเรื่องเวบไซต์ที่เข้าไปท่องล่ะ? - แหะๆ เกือบลืมแน่ะ พอลองอ่านดู เหมือนจะเป็น あいづち ที่ค่อนข้างเป็นภาษาทางการ สุภาพ ใช้ในวงธุรกิจ แต่เราว่าดีนะ เค้าช่วยแบ่งประเภทให้ด้วย อย่างเช่น

☆同調のフレーズ
「そうですね」「私もそう思います」「その通りです」

☆驚き・感嘆のフレーズ
「え?本当ですか?」「素晴らしいですね!」「さすがですね!」

☆疑問のフレーズ
「それはいつですか?」「どういうことですか?」

☆展開のフレーズ
「それから先はどうなったんですか?」「例えばどんなことですか?」

★相手を不快にさせてしまうNGフレーズ ←(เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า NG =no good)
「ていうか」「でも」「だけど」「いえ」「そんなことないですよ」「だから?」
「それは違います」「そうは思いませんけど」

เค้าบอกว่า表現ที่ negativeอย่างด้านบน(ที่เป็นดาวสีทึบ)จะไปทำลาย 相手の“話そう”という気ล่ะ
เราขอยกข้อความเค้ามาเลยดีกว่า เพราะถ้าเราแปลเองอาจจะ..เอ่อ..มั่ว

「表情豊かに相槌を打ちながら話を聴くことは、話し手に“話が伝わっている”という安心感を与えるとともに、相手の話を発展させる大切な要素です。」